ประวัติความเป็นมา
ในบรรดาชุมชนเมืองโบราณ
พิษณุโลกจัดเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง
นอกจากตำแหน่งที่ตั้งของเมืองจะอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มที่มีความอุดมสมบูรณ์ริมแม่น้ำน่านแล้ว
เมืองพิษณุโลกยังเป็นชุมทางการคมนาคมที่เชื่อมโยงติดต่อระหว่างอาณาจักรโบราณหลายแห่ง
ได้แก่ ล้านนาที่อยู่ทางเหนือ ล้านช้างอยู่ทางตะวันออก
สุโขทัยและพุกามอยู่ทางตะวันตก และกรุงศรีอยุธยาอยู่ทางใต้
เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองเก่าสมัยขอม
โดยมีชื่อเรียกต่างๆ กันในศิลาจารึก ตำนาน นิทาน และพงศาวดาร เช่น สองแคว สระหลวง
สองแควทวิ สาขะ ไทยวนที
ที่เรียกว่า
“เมืองสองแคว” เพราะตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสายคือ
แม่น้ำน่านกับแม่น้ำแควน้อย
แต่ปัจจุบันแม่น้ำแควน้อยเปลี่ยนทิศทางน้ำออกห่างจากตัวเมืองไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร
ที่ตั้งเมืองเก่าในปัจจุบันคือบริเวณวัดจุฬามณี
ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของเมืองพิษณุโลก และเป็นวัดที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จมาประทับจำพรรษาเมื่อคราวทรงผนวช
เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๘ จนเมื่อประมาณพุทธศักราช
๑๙๐๐ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้โปรดฯ ให้ย้ายเมืองสองแคว มาตั้งอยู่ ณ
บริเวณตัวเมืองในปัจจุบัน และยังคงเรียกกันติดปากว่า เมืองสองแคว เรื่อยมา เมืองพิษณุโลก
เป็นเมืองมีลำน้ำน่านไหลผ่านตัวเมือง ทำให้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง
คือฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ฝั่งตะวันออกมีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดใหญ่ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก
วัดนี้เป็นวัดสำคัญในฐานะที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย
ขณะที่ฝั่งตะวันตกมีพระราชวังจันทน์ที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงอยุธยา
เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ใน พ.ศ. ๒๐๐๖
ทรงประทับที่พระราชวังจันทน์เป็นระยะเวลายาวนานถึง ๒๕ ปี จนถึงสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์
ทรงโปรดให้สมเด็จพระธรรมราชาธิราช พระมหาอุปราช กับพระวิสุทธิกษัตริย์
พระราชธิดาซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยเป็นพระชายา ไปครองเมืองพิษณุโลก
ครอบครองหัวเมืองภาคเหนือ ระหว่างนี้พระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตรีมีโอรสด้วยกันสองพระองค์
คือ พระนเรศวรมหาราชและพระเอกาทศรถ พระราชธิดาหนึ่งองค์ คือ พระพี่นางสุพรรณกัลยา
พระราชวังจันทน์
สถานที่พระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
และสมเด็จพระเอกาทศรถเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชวังจันทน์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำน่าน ตำบลในเมือง
อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ไม่ไกลจากค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กองทัพภาคที่ ๓
ในอดีตเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
สันนิษฐานว่า
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) พระราชโอรสใน พระยาเลอไท พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๔
แห่งราชวงศ์พระร่วงของอาณาจักรสุโขทัย ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติ
เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๖ ของราชวงศ์พระร่วง
ครองราชสมบัติกรุงสุโขทัยและครองเมืองพิษณุโลก ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๐๕ - พ.ศ. ๑๙๑๒
ทรงสร้างพระราชวังจันทน์บนเนินดินบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน และใช้เป็นที่ประทับระหว่างเสด็จว่าราชการหรือครองเมืองพิษณุโลกของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นอกจากนี้พระราชวังจันทน์ยังเป็นสถานที่พระราชสมภพของพระสุพรรณกัลยา
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ
รื้อทำลายพระราชวังจันทน์
ในต้นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
รัชกาลที่ ๑ พม่ายังคงรุกรานไทย ได้ส่งกองทัพใหญ่มาตีกรุงรัตนโกสินทร์หลายครั้ง
บ้านเมืองยังไม่มีความเข้มแข็งพอ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชดำริว่า
ไม่มีกำลังทหารพอที่จะป้องกันเมืองพิษณุโลกและหัวเมืองฝ่ายเหนือได้
จึงทรงรวบรวมกำลังพลเพื่อทำสงครามที่กรุงรัตนโกสินทร์เพียงที่เดียว จึงโปรดให้รื้อทำลายป้อมปราการ
กำแพงเมือง และปราสาทราชมณเฑียรในพระราชวังจันทน์เสียสิ้น
เพื่อมิให้พม่าข้าศึกใช้เป็นฐานที่มั่นส้องสุมกำลังผู้คนและตระเตรียมเสบียงอาหาร
เพื่อที่จะทำสงครามกับกรุงรัตนโกสินทร์ได้อีก พระราชวังจันทน์จึงถูกทำลายได้รับความเสียหายอย่างหนัก
และได้ถูกทอดทิ้งให้รกร้าง เหลือแต่เพียงชื่อ และไม่มีใครสนใจอีก
การค้นพบ
จนกระทั่งปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุระยะทางไปพิษณุโลก
ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
เสด็จตรวจราชการเมืองพิษณุโลก และหล่อพระพุทธชินราชจำลอง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔
ทรงรับสั่งให้ขุนศรเทพบาล สำรวจรังวัด จัดทำผังพระราชวังจันทน์
เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จสังเวยเทพารักษ์ในวันที่
๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงได้เสด็จทอดพระเนตรพระราชวังจันทน์ด้วย
และมีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า มีซากพระราชวังก่อด้วยอิฐ สูงพ้นดิน ๒-๓ ศอกเศษ
มีพระที่นั่งคล้ายพระที่นั่งจันทรพิศาล ในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์
จังหวัดลพบุรี มีกำแพงวัง ๒ ชั้น มีสระสองพี่น้องอยู่นอกกำแพงวัง
ภายหลังปรักหักพังเป็นป่ารกในสงครามอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองพิษณุโลก
สร้างโรงเรียนในพระราชวังจันทน์
ถึงปี
พ.ศ. ๒๔๗๕ (รัชกาลที่ ๗) ได้มีการย้ายโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมจากวัดนางพญา
มาสร้างที่พระราชวังจันทน์ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลพิษณุโลก เพื่อให้นักเรียนดูแลรักษาพระราชวังจันทน์
ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม มีการปรับพื้นที่ก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ
มาเป็นลำดับในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียน ๔ ชั้น ที่บริเวณสนามบาสเกตบอลใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่
ขณะคนงานก่อสร้างขุดหลุมเสาฐานราก จึงได้พบซากอิฐเป็นแนวกำแพง วันที่ ๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก ได้แจ้งมายังหน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย
ว่ามีการขุดพบซากอิฐเก่าในโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
พระราชวังจันทน์จากหลักฐานโบราณคดี
หน่วยศิลปากรที่
๓ สุโขทัย จึงมอบหมายให้ นายเอิบเปรม วัชรางกูร นักโบราณคดีเข้าไปตรวจสอบ
การดำเนินงานทางโบราณคดีที่พระราชวังจันทน์
จึงเริ่มขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๕ การขุดตรวจสอบเบื้องต้น
พบกำแพงพระราชวังจันทน์ชั้นนอก ประตูพระราชวังจันทน์ และทิมดาบ พบกำแพงพระราชวังจันทน์ชั้นใน
ประตูพระราชวังจันทน์ และเนินฐานพระราชวังจันทน์ในบริเวณสนามโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
และสรุปผลจากหลักฐานโบราณคดีว่า
พระราชวังจันทน์มีการซ่อมสร้างโดยการรื้อแล้วสร้างใหม่อย่างน้อยหนึ่งครั้ง
การก่อสร้างครั้งแรกน่าจะไม่ช้าไปกว่ารัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ที่ทรงประทับอยู่ที่พิษณุโลกเป็นเวลานานถึง ๒๕ ปี การสร้างวังครั้งที่สอง
น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เมืองพิษณุโลกร้างไป ๘ ปีระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๑๒๗-๒๑๓๓
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง จากนั้นทรงโปรดฯ
ให้อพยพครัวเรือนชาวพิษณุโลกไปรวมอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นเป็นต้นมาคงไม่มีการรื้อสร้างวังใหม่
แต่น่าจะเป็นการซ่อมแซมพระราชวังเดิมเท่านั้น
เพราะหลังจากสมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๔๘ นั้น
ก็ไม่ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ที่กรุงศรีอยุธยาทรงโปรดฯ
ให้อุปราชมาครองเมืองพิษณุโลกอีกเลย จนกระทั่งในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เมืองพิษณุโลกได้รับการปรับปรุงพัฒนาในฐานะเมืองสำคัญ
ซึ่งรวมถึงการซ่อมแซมป้อมค่ายคูเมือง
การประดิษฐานรอยพระพุทธบาทและการสร้างมณฑปครอบที่วัดจุฬามณี ในปี พ.ศ. ๒๒๒๔
การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
หลังจากการดำเนินการขุดตรวจสอบเมื่อ
ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนพระราชวังจันทน์เป็นโบราณสถาน
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และกำหนดขอบเขตพระราชวังจันทน์
ให้ครอบคลุมพื้นที่พระราชวังจันทน์และวัดสำคัญอีกสามแห่ง คือ วัดวิหารทอง
วัดศรีสุคต และวัดโพธิ์ทอง รวมเนื้อที่ ๑๒๘ ไร่ ๒ งาน ๕๐ ตารางวา และได้ข้อสรุปว่า
ควรมีการโยกย้ายโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมไปยังสถานที่แห่งใหม่ที่เหมาะสม
เพื่อดำเนินการขุดค้น ขุดแต่ง บูรณะ และอนุรักษ์พระราชวังจันทน์
ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชน
โดยจัดทำเป็นแผนงานโครงการบูรณะพระราชวังจันทน์และย้ายโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม เสนอต่อคณะรัฐมนตรี
และคณะรัฐมนตรีได้ลงมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
เมื่อมีการย้ายโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมออกไปตั้ง
ณ สถานที่ใหม่ตำบลท่าทองแล้ว กรมศิลปากรจึงดำเนินงานทางโบราณคดีตามมติคณะรัฐมนตรี
เริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยขุดค้น ขุดแต่งพื้นที่พระราชวังจันทน์ได้ครบทั้งหมด
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ และดำเนินการบูรณะ อนุรักษ์ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒) พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) แห่งราชอาณาจักรศรีอยุธยา และองค์ที่ ๒ ของราชวงศ์สุโขทัย ที่ได้ครองกรุงศรีอยุธยา (พระองค์ที่ ๑ สมเด็จพระมหาธรรมราชา) ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชและสมเด็จพระวิสุทธิกษัตริย์ ราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กับสมเด็จพระศรีสุริโยทัย แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ประสูติที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก เมื่อปีเถาะ พ.ศ.๒๐๙๘ ชาวเมืองพิษณุโลกและชาวต่างประเทศเรียกพระนามพระองค์อย่างสามัญว่า พระองค์ดำ ส่วนสมเด็จพระอนุชาเรียกว่า พระองค์ขาว ในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าถูกต้องที่สุดนั้น เรียกพระนามของพระองค์ว่า “สมเด็จพระนารายณ์บพิตรเป็นเจ้า” ขณะทรงพระเยาว์ ประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก จนถึงปี พ.ศ.๒๑๐๗ พระชนมายุ ๙ พรรษา พระเจ้าหงสาวดีมีพระราชสาส์นทูลขอช้างเผือกจากกรุงศรีอยุธยา ๒ ช้าง (ขณะนั้นมีช้างเผือกอยู่ทั้งหมด ๗ ช้าง) สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกทรงมีพระบรมราชโองการไม่ประทานช้างเผือก พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงถือเป็นเหตุยกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา (เรียกกันว่า สงครามช้างเผือก) โดยยกทัพผ่านมาทางสุโขทัย แล้วเลยมาล้อมเมืองพิษณุโลกเอาไว้ พระมหาธรรมราชาซึ่งครองเมืองพิษณุโลกเห็นจะสู้พม่าซึ่งมีกำลังพลมหาศาลไม่ได้จึงยอมอ่อนน้อมต่อพม่า
พระเจ้าบุเรงนองได้ให้สมเด็จพระมหาธรรมราชายกกองทัพลงไปตีกรุงศรีอยุธยาด้วย ผลของสงคราม ทำให้ไทยต้องยอมเป็นไมตรี และยอมถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงนำไปเป็นตัวประกัน ณ กรุงหงสาวดี ตามประเพณีการปกครองเมืองขึ้นของไทยและของพม่ามาแต่โบราณ
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเรื่องนี้ไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเป็นตัวประกันที่กรุงหงสาวดีจนพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชจึงได้ถวายพระสุพรรณกัลยาไปแลกเปลี่ยน และเมื่อเสด็จกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว พระราชบิดาจึงแต่งตั้งให้ขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลก
จดหมายเหตุของวัน
วลิต กล่าวว่า
เมื่อพระนเรศวรเสด็จหนีจากกรุงหงสาวดีมาเข้าเฝ้าพระราชบิดา ณ กรุงศรีอยุธยานั้น พระราชบิดาทรงตกพระทัยและโศกาดูร ทรงห่วงใยศึกพม่าเพราะบ้านเมืองยังขาดแคลน ราษฎรก็อดอยากยากแค้น รี้พลก็มีน้อย จึงอยากจะรักษาพระราชไมตรีกับพม่าต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อการเป็นไปแล้วก็ต้องปล่อยไป จึงส่งสมเด็จพระนเรศวรขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลกใน ปี พ.ศ. ๒๑๑๔ ขณะนั้นพระชนม์ได้ ๑๗ พรรษา ขณะที่พระองค์ประทับที่เมืองพิษณุโลกได้สะสมฝึกปรือพละกำลังพล เช่นเดียวกับทางกรุงศรีอยุธยาก็บำรุงไพร่พลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะมีกองทัพของกัมพูชายกเข้ามารุกรานหลายครั้ง บางครั้งเป็นเวลาที่สมเด็จพระนเรศวรเสด็จลงไปเฝ้าสมเด็จพระราชบิดาก็ได้ร่วมกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ทำสงครามขับไล่กองทัพกัมพูชาให้ถอยกลับไป ส่วนกองทัพเมืองพิษณุโลกนั้นได้แสดงความสามารถในสงครามปราบเมืองรุมเมืองคังเมืองของไทยใหญ่ ซึ่งแข็งข้อกับพม่า สงครามครั้งนั้นทำให้สมเด็จพระนเรศวรมีพระเกียรติยศเกรียงไกร เป็นที่เกรงขามต่อพม่าอันเป็นสาเหตุนำไปสู่การวางแผนลอบปลงพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๑๒๗ โดยจะลงมือขณะที่สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปช่วยพระเจ้าหงสาวดีปราบเมืองอังวะที่แข็งเมือง
เมื่อเสด็จไปถึงเมืองแครงก็ทรงทราบแผนร้ายของพม่า จึงทรงหลั่งอุทกธาราลงเหนือพื้นพสุธาดล
ออกพระโอษฐ์ตรัสประกาศเอกราชจากพม่า หลังประกาศเอกราชแล้ว
พม่าก็ได้ยกกองทัพมาโจมตีไทยอีกหลายครั้ง
ทำให้สมเด็จพระนเรศวรต้องถ่ายเทผู้คนจากหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด ๑๗ หัวเมือง
ลงไปรวมกำลังต้านทานพม่าที่กรุงศรีอยุธยาจนถึงเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. ๒๑๓๔
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรซึ่งที่จริงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยการปกครองมาแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติอย่างสมบูรณ์
ขณะนั้นมีพระชนมายุ ๓๖ พรรษา ความที่พระองค์โปรดพระอนุชา
เพียงจะทรงตั้งให้เป็นพระมหาอุปราช ไม่เพียงพอพระราชหฤทัย จึงทรงสถาปนาพระเอกาทศรถ
พระอนุชาที่ตามเสด็จเข้าร่วมศึกสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จพระบรมเชษฐา
เป็นสมเด็จพระมหาอุปราช ถวายพระราชอิสริยยศเยี่ยงพระเจ้าแผ่นดินคู่กัน
นับว่าในแผ่นดินนี้มีพระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์ (Second King) และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยและต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงเอาเป็นแบบอย่าง
ทรงแต่งตั้งพระอนุชาเป็นพระมหาอุปราชและถวายพระเกียรติยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน
เรียก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากครองราชย์ไม่นาน
พม่าได้แต่งตั้งให้พระมหาอุปราชยกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๑๓๕
สงครามคราวนี้สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถยกกองทัพไปต่อสู้นอกกรุงศรีอยุธยาถึงสุพรรณบุรี
นับเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของชนชาติไทย ศึกครั้งนี้ได้กระทำยุทธหัตถี
ทรงสามารถเอาชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า เมื่อวันจันทร์ เดือน ๒ แรม ๒ ค่ำ จุลศักราช
๙๕๔ ตรงกับวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕ การยุทธหัตถีครั้งนี้กล่าวกันว่าเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์
และเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญที่ทำให้พระเกียรติยศของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเลื่องลือไปไกลถึงกรุงปักกิ่งและนานาประเทศทางยุโรป
ทรงเป็นมหาราชที่ชาวต่างประเทศรู้จักและยกย่องมากที่สุดหลังจากนั้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าไม่มีข้าศึกใดกล้ายกทัพมารุกรานสยามประเทศเป็นเวลาถึง
๑๕๐ ปีวัน
วลิต พ่อค้าชาวฮอลันดาที่เข้ามาพำนักในกรุงศรีอยุธยาหลังจากสมเด็จพระนเรศวรสวรรคตไปเพียง
๒๐ ปีเศษ ได้บันทึกเรื่องราวยุทธหัตถีที่ชาวกรุงศรีอยุธยาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดและยกย่องชื่นชมยิ่งว่า
“พระนเรศวรประสบชัยชนะครั้งนี้ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๓๒ พรรษา
พระองค์สามารถปกป้องพระราชอาณาจักรของพระราชบิดาไว้ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นได้
และนับแต่นั้นมาพระเจ้าแผ่นดินสยามก็ไม่ขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดในโลกนี้อีกเลย”นอกจากนี้ วัน
วลิต ยังได้บรรยายถึงเหตุการณ์ตอนจะกระทำยุทธหัตถี ว่า ช้างของสมเด็จพระนเรศวร
เจ้าพระยาไชยานุภาพนั้น รูปร่างเล็กกว่าพลายพัธกอช้างทรงของพระมหาอุปราชมากนัก
เมื่อประจันหน้ากัน ช้างเล็กกว่าก็ตกใจกลัวถึงกับเบนหัวจะถอยกลับ สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสปลุกปลอบพระยาช้างต้น
ซึ่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
ได้แปลออกมาเป็นภาษาไทยที่ไพเราะกินใจไว้ในหนังสือกฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้
มีความว่า...พระเจ้าหงสาวดียกทัพอันมีกำลังใหญ่หลวงมายังกรุงศรีอยุธยา
พระนเรศวรยกทัพมาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง (ซากวัดร้างนั้นยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้)
เรียกว่าเครงหรือหนองสาหร่าย เพื่อปะทะทัพมอญ เมื่อกองทัพทั้งสองมาประจัญกันเข้า
พระนเรศวรและพระมหาอุปราชา (ต่างองค์ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์
และประทับบนพระคชาธาร) ต่างทอดพระเนตรเห็นกันเข้า ต่างองค์ก็มีพระทัยฮึกเหิม
เสด็จออกจากกองทัพ ขับพระคชาธารโดยปราศจากรี้พลเข้าหากันประดุจว่าเสียพระจริต
แต่พระคชาธารที่พระนเรศวรทรงอยู่นั้นเล็กกว่าพระมหาอุปราชามากนัก
เมื่อกษัตริย์ทั้งสองพระองค์มุ่งเข้าหากัน
ช้างที่เล็กกว่าก็ตกใจกลัวช้างที่ใหญ่กว่า ถึงกับเบนหัวจะถอยกลับอยู่ท่าเดียว
พระนเรศวร์ก็ตกพระทัยจึงตรัสกับเจ้าพระยาช้างต้นว่า
“พ่อเมืองเอย
ถ้าท่านละทิ้งเรา ณ บัดนี้
ก็เท่ากับว่าท่านละทิ้งตัวท่านเองและลาภยศของท่านทั้งปวง
เราเกรงว่าแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านจะไร้ยศศักดิ์ หากษัตริย์มาทรงท่านมิได้
ขอให้คิดดูเถิดว่าขณะนี้พระชาตาของกษัตริย์สองพระองค์ขึ้นอยู่กับท่าน
และท่านสามารถจะสู้ให้เราชนะศึกได้ ขอให้ท่านดูราษฎรผู้ยากไร้ของเรา
คิดดูเถิดว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้และกระจัดพลัดพรากถึงปานไฉน
ถ้าหากว่าเราทั้งสองหนีสมรภูมิ แต่ถ้าหากเราทั้งสองยืนหยัดอยู่ไซร้
ด้วยความกล้าหาญของท่านและกำลังของเรา เราก็อาจเอาชนะข้าศึกได้ และเมื่อได้ชัยชนะแล้วเราก็จะได้เกียรติยศร่วมกันสืบไป
"
ขณะที่พระองค์ตรัสแก่พระยาช้างต้นนั้น
ก็ทรงพรมน้ำเทพมนต์ซึ่งพราหมณ์ได้ทำถวายสำหรับโอกาสนี้ลงบนศีรษะช้างสามครั้ง
ขณะนั้นน้ำพระอสุชลก็ไหลลงตกต้องงวงพระคชาธาร พระยาช้างผู้ชาญฉลาดนั้น
เมื่อได้รับน้ำเทพมนต์และน้ำพระอสุชล
และได้ยินพระราชดำรัสของวีรกษัตริย์ก็มีใจฮึกเหิม
ชูงวงขึ้นประณตแล้วเบนหัวสู่ข้าศึก พลันวิ่งสู่กษัตริย์มอญดุจเสียสติ
อำนาจของพระยาช้างต้นในการสู้รบครั้งนี้แลดูน่ากลัวและน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”สงครามยุทธหัตถีครั้งนั้น
คงเป็นเรื่องที่ชาวกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงด้วยความปราบปลื้มภาคภูมิใจมิรู้ลืมเลือน
แม้ วัน วลิต จะเข้ามาสู่กรุงศรีอยุธยาหลังจากนั้นหลายปี
ก็ยังสามารถเล่าให้ชาวต่างประเทศฟังอย่างละเอียดลออ